วิธีการเลือกเครื่องฟอกอากาศ
ปัจจัยต่าง ๆ ในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ
- ขนาดห้อง
สิ่งแรกที่ควรทราบว่าห้องที่ต้องการใช้งานมีขนาดพื้นที่เท่าไหร่
เนื่องจากมีผลต่อรุ่นของเครื่องฟอกอากาศ หากเลือกเครื่องฟอกอากาศเหมาะสมกับขนาดพื้นที่ห้อง จะทำให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ - ระดับแรงลม
เครื่องฟอกอากาศมีการใช้พัดลมเป็นตัวหลักในการดูดลมเข้าเครื่อง ซึ่งระดับค่าความแรงของพัดลมยิ่งมากเท่าไหร่ จะทำให้อัตราการดูดลมเพื่อฟอกอากาศ และดักจับฝุ่นได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าระดับแรงลมยิ่งสูง ก็จะทำให้เครื่องทำงานเสียงดังมากขึ้นไปด้วย ดังนั้น
เครื่องฟอกอากาศในบางรุ่น สามารถให้ผู้ใช้งานกำหนดแรงลมได้ด้วยตนเองตามความเหมาะสม หรือมีระบบอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น - CADR (Clean Air Delivery Rate)
CADR หมายถึง อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ มีหน่วยเป็น CFM (Cubic Feet per Minute)
ใช้วัดประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศในการขจัดฝุ่น กลิ่น หรือสิ่งแปลกปลอมในอากาศได้ดีมากน้อยเพียงใด โดยค่า CADR ควรพิจารณาร่วมกับขนาดห้อง เพื่อเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ไส้กรองฝุ่น - เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเครื่องฟอกอากาศ
ไส้กรองฝุ่น ทำหน้าที่กรองฝุ่น และสิ่งสกปรกในอากาศ ก่อนที่เครื่องฟอกอากาศจะปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมา ยิ่งอากาศผ่านไส้กรองที่มีความละเอียดมาก จะทำให้ดักจับฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เครื่องฟอกอากาศปล่อยอากาศบริสุทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น
ไส้กรองฝุ่นสามารถแบ่งได้หลายระดับ เช่น HEPA, Tru HEPA, ULPA โดย HEPA ส่วนใหญ่จะกรองฝุ่นได้ถึง 0.3 ไมครอน (ไมโครเมตร) นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ เช่น
* แผ่นกรองคาร์บอน หรือเม็ดคาร์บอน เพื่อดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์
* เพิ่มความชื้น
* ฆ่าเชื้อโรคด้วยประจุไฟฟ้า (ION) โอโซน และ แสงUV
- การบำรุงรักษา
ไส้กรองฝุ่น เป็นอะไหล่ส่วนที่สำคัญที่สุดของเครื่องฟอกอากาศ สิ่งที่ควรทราบ คือ
อายุการใช้งาน และราคาของไส้กรองฝุ่น ซึ่งทางผู้ผลิตส่วนใหญ่มีการแนะนำให้เปลี่ยนอะไหล่ไส้กรองฝุ่นในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อทำให้เครื่องฟอกอากาศยังคงมีประสิทธิภาพ
หากเครื่องฟอกอากาศมีฟังก์ชั่นเพิ่มเติม เช่น ระบบเพิ่มความชื้นระบบ ION ฯลฯ
อาจส่งผลให้งบประมาณในการบำรุงรักษาสูงขึ้นตามไปด้วย